ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
ใครที่กำลังมีปัญหาใต้ตาคล้ำ เบ้าตาลึก จนทำให้ใบหน้าดูโทรม ดูไม่สบาย ไม่สดใสอยู่ตลอดเวลา และกำลังคิดอยากฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา แต่ก็แอบกลัวว่าทำแล้วจะเป็นก้อนไหม เสี่ยงตาบอดหรือเปล่า เพราะด้วยตำแหน่งฉีดใกล้ดวงตาอันเป็นอวัยวะที่บอบบาง บทความวันนี้จะมาช่วยความกังวล และนำแนะยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เหมาะกับการฉีดบริเวณดวงตามาฝากกัน

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ( Under-Eye Filler ) คืออะไร
เป็นเทคนิคแก้ปัญหาพื้นที่ผิวบริเวณใต้ตา ด้วยหัตถการเข็มฉีดยา ฉีดนำสารเติมเต็มไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) ที่ตัวยามีคุณสมบัติช่วยอุ้มน้ำและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิวที่อ่อนแอและเสื่อมโทรม ตามอายุที่มากขึ้น และมลภาวะที่เผชิญในแต่ละวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เห็นผลลัพธ์ไว ปลอดภัยต่อระบบเซลล์ผิวหนัง
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ช่วยแก้ปัญหาเรื่องอะไรบ้าง

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นหัตถการแพทย์ด้านความสวยงาม เพื่อเติมเต็มพื้นที่ผิวใต้ตาที่มีปัญหาจากภายในสู่ภายนอก ได้หลายประการดังต่อไปนี้
ปัญหาถุงใต้ตา
เป็นการฉีดฟิลเลอร์ลงไปที่บริเวณใต้ตา เพื่อปรับพื้นที่ใต้ตาอันเกิดจากถุงใต้ตาเหี่ยว ถุงใต้ตาแฟ่บเกินไป ถุงใต้ตานูนจนเห็นได้ชัด หรือถุงใต้ตาทั้งสองข้างไม่เท่ากัน จนทำให้ดูเหมือนตาไม่เท่ากัน หรือดูใบหน้าโทรมไม่สดใส
ปัญหาร่องลึกใต้ตา
เป็นการฉีดสารเติมเต็ม ไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) เข้าในส่วนใต้ตาที่ยุบลงไปจนเกิดเป็นร่องลึก ทำใต้ตาดูลึก ดวงตาดูโปนเหมือนคนนอนน้อย
ปัญหาใต้ตาคล้ำ
ฟิลเลอร์ช่วยแก้ปัญหาใต้ตาคล้ำ จากการพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือภาวะภูมิแพ้ได้ดี ด้วยคุณสมบัติเข้าไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน จะช่วยฟื้นฟูผิวให้กลับมากระจ่างใส
ปัญหาริ้วรอยใต้ตา
สามารถช่วยลบเลือนริ้วรอยใต้ตาได้ด้วยการฉีดฟิลเลอร์ลงไปเติมเต็มผิวใต้ตาให้กลับมาเต่งตึง และเรียบเนียน ซึ่งเป็นผลทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้น
ปัญหาใต้ตาหย่อนคล้อย
ฟิลเลอร์สามารถแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยลงเป็นก้อนใหญ่ใต้ตา อันเป็นผลทำให้ตาดูอ่อนล้า หน้าดูเหนื่อยหรือเหมือนป่วยตลอดเวลา และทำให้แก่กว่าวัย ให้ยกกระชับขึ้น เต่งตึงขึ้น
ปัญหาเบ้าตาลึก
ในผู้ที่มีปัญหากระดูกเบ้าตากว้าง และเมื่ออายุมากขึ้นก็ผิวบริเวณใต้ตาหรือรอบดวงตา ที่เคยมีเนื้อเต่งเต็มร่องก็ค่อยๆ หดตัวแฟ่บลง เป็นผลให้เบ้าตาลึก ซึ่งสามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดฟิลเลอร์เข้าไปเติมเต็มพื้นที่
ปัญหาตาโหล
ลักษณะตาโหล ไม่ได้เกิดจากการมีเบ้าตาลึก เพราะกระดูกกว้างเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากมีถุงใต้ตาน้อยเกินไป ไขมันบริเวณเปลือกตาน้อยเกินไป จนทำให้ผิวตาแห้งกร้าน ไม่นุ่มเด้ง ทำให้ดวงตาไม่สดใส ซึ่งแก้ได้ด้วยการฉีดฟิลเลอร์ไปทั่วบริเวณที่ลึกโบ๋ให้ฟูขึ้นมาเสมอกัน
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เหมาะ-ไม่เหมาะ กับใครบ้าง?
แม้ว่าการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นหัตถการเติมเต็มผิวด้วยเทคนิคทางการแพทย์ ที่ปลอดภัยสูง แต่ก็ไม่ได้เหมาะกับทุกคน ดังนั้นควรศึกษาว่าตนเองจัดอยู่ในกลุ่มคนที่เหมาะหรือไม่เหมาะ ก่อนตัดสินใจทำ
กลุ่มคนที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
- ผู้ที่มีปัญหาผิวใต้ตาหย่อนคล้อย ทั้งในลักษณะริ้วรอยเล็กๆ และลักษณะเหี่ยวย่นตกลงมาเป็นก้อนใต้ตา
- ผู้ที่มีปริมาณไขมันใต้ตาน้อยลง หรือเคลื่อนตัวจนทำให้ใต้ตาเป็นร่องลึก
- ผู้ที่มีถุงใต้ตาบวม หรือนูนจนเห็นชัดเกิน เมื่อฉีดฟิลเลอร์เข้าไปจะช่วยทดแทนในส่วนที่ยุบลง ทำให้เห็นถุงใต้ตาน้อยลง
- ผู้ที่มีปัญหาใต้ตาคล้ำ-ดำ-โหล อันเกิดจากกรรมพันธุ์, ผลข้างเคียงของภูมิแพ้ และพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ชอบขยี้ตา นอนดึก ไม่ค่อยทาครีมกันแดด หรือไม่สวมแว่นกันแดด เวลาทำกิจกรรมกลางแจ้ง เป็นต้น
กลุ่มคนที่ควรหลีกเลี่ยงการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
- ผู้ที่มีผิวใต้ตาเรียบเนียน ไม่เป็นหลุมลึก และเต่งตึงอยู่แล้ว
- ผู้ที่มีประวัติแพ้สารไฮยาลูรอนิค แอซิด
- หญิงตั้งครรภ์ และอยู่ในช่วงให้นมบุตร
- ผู้ที่มีปัญหาเลือดออกง่าย เลือดหยุดไหลช้า
- ผู้ที่ปัญหาผิวใต้ตาอักเสบ บวมช้ำ ควรรักษาให้หายก่อนเข้ารับบริการ
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา VS ฉีดไขมันใต้ตา vs ร้อยไหมใต้ตา แตกต่างกันอย่างไร
หลายคนที่กำลังสนใจแก้ปัญหาใต้ตา และก็สงสัยว่าเทคนิคฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ฉีดไขมันใต้ตา และร้อยไหมใต้ตา ให้ผลลัพธ์เหมือนหรือแตกต่างกันไหม มีข้อดี ข้อเสียยังไง ควรเลือกแบบไหน เพื่อป้องกันการถูกหลอกขายคอร์ส/โปรโมชั่น โดยไม่คำนึงถึงปัญหาและความเหมาะสม
ข้อดี | ข้อเสีย | |
---|---|---|
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา | เห็นผลลัพธ์หลังฉีดรวดเร็ว ไม่เจ็บตัวมาก เพราะไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น เมื่อฉีดเสร็จ สามารถเดินทางกลับบ้าน หรือไปทำกิจกรรมอื่นๆ ต่อได้ทันที ไม่มีรอยแผล หรือทำให้เกิดรอยแผลเป็นใดๆ ไม่ทิ้งสารตกค้าง เพราะฟิลเลอร์ ส่วนใหญ่เป็น Hyaluronic Acid จะสลายได้เองตามธรรมชาติ | ผลลัพธ์ไม่อยู่ถาวร หากต้องการความต่อเนื่องจะต้องกลับไปฉีดเติมใหม่ เสี่ยงผิวเกิดการแพ้ อักเสบ ติดเชื้อ หากฉีดโดยฟิลเลอร์ปลอม หรือฉีดกับหมอเถื่อน เสี่ยงได้รับอันตรายกับดวงตา หากฉีดโดยฟิลเลอร์ปลอม ที่มักเป็นฟิลเลอร์ชนิดแข็ง หรือซิลิโคน ที่ไม่สามารถสลายเองได้ และแพ้เพราะเป็นสารชนิดที่ผิวหนังต่อต้านได้ง่าย เสี่ยงฉีดแล้วจับเป็นก้อน ห้อยย้อย ที่เกิดได้จากทำโดยแพทย์ไม่เชี่ยวชาญ และใช้ฟิลเลอร์ปลอม |
ฉีดไขมันใต้ตา | กำจัดไขมันส่วนเกินจากตำแหน่งหนึ่งออกจากร่างกาย ฟื้นฟูสุขภาพผิวรอบดวงตา ไร้สิ่งแปลกปลอม ปลอดภัยสูง เพราะใช้ไขมันของคนไข้เอง เซลล์ไขมันที่เหลือจะคงสภาพอยู่ได้ตลอดไป ผลลัพธ์สวยเป็นธรรมชาติกว่าการฉีดฟิลเลอร์ | หลังฉีดผ่านไปสักระยะ ไขมันยุบตัวได้เล็กน้อยประมาณ 30% ผลลัพธ์อาจไม่ชัดเหมือนช่วงแรกๆ ร่างกายของคนไข้ จำเป็นต้องมีไขมันส่วนเกินเพียงพอเพื่อดึงเอามาใช้ฉีดเติมเต็มใต้ตา ไม่สามารถช่วยยกกระชับได้ จึงให้ผลดีในผู้ที่มีปัญหาริ้วรอย ร่องลึกเท่านั้น |
ร้อยไหมใต้ตา | เห็นผลชัดเจนตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ช่วยให้ไหลเวียนเลือดบริเวณรอบดวงตาทำงานได้ดีขึ้น ช่วยลดความหมองคล้ำใต้ตา ช่วยทำให้ใต้ตาเรียบเนียนขึ้น ช่วยให้ร่องใต้ตาตื้นขึ้น | เสี่ยงเกิดพังผืดใต้ผิวตาในบริเวณที่ใส่ไหม กระทบกับเนื้อเยื่ออื่น ๆ จนเป็นอันตรายได้ ใต้ตาเป็นก้อน ช้ำบวม และอักเสบได้ง่าย เสี่ยงไหมโผล่ เพราะบริเวณรอบตาผิวบอบบาง ต้องทำโดยแพทย์ที่เชี่ยวชาญเท่านั้น |
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา อันตรายไหม?
บริเวณรอบดวงตา เป็นผิวที่บอบบาง และดวงตาคืออวัยวะที่ต้องถนอมมากที่สุด ดังนั้นแล้วหากเลือกเสริมความงามในจุดนี้ต้องเลือกวิธีที่ปลอดภัยที่สุด ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์ ก็เป็นหนึ่งในวิธีแก้ปัญหาผิวบริเวณตาที่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายทั้งต่อผิว และเนื้อเยื่อตาใดๆ ทั้งสิ้น แต่ต้องเป็นฟิลเลอร์แท้ ที่ผลิตจากสารไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) ที่สลายได้เองตามธรรมชาติ
อาการที่พบได้ปกติ จากการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
อาการข้างเคียงที่พบได้หลังฉีดฟิลเลอร์ จะมีอาการบวมแดง เขียวช้ำ และรู้สึกตึงๆ บริเวณที่เพิ่งฉีดฟิลเลอร์มาใหม่ๆ ซึ่งจะค่อยๆ หายเป็นปกติ
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ต้องใช้ปริมาณกี่ CC ถึงจะเห็นผล?
ปริมาณที่พอเหมาะกับการเติมเต็มผิวใต้ตา จะอยู่ที่ประมาณ 1 – 2 cc ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวว่าต้องการแก้ไขมากน้อยแค่ไหน เช่น หากเป็นคนที่กระดูกใต้ตายุบมาก จนทำให้เป็นตาโหล ก็จำเป็นต้องเติมเต็มผิวโดยใช้ฟิลเลอร์มากขึ้น แต่ส่วนใหญ่จะไม่เกิน 2 cc
หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เห็นผลทันทีหรือไม่?
สารฟิลเลอร์ เมื่อถูกฉีดลงไปเติมเต็มใต้ผิวจะสามารถเห็นผลได้เลยหลังทำเสร็จทันที แต่เมื่อผ่านไปสักพัก จะมีอาการบวมจากการฉีดบ้าง และจะค่อยๆ หายเป็นปกติ
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา บวมกี่วันถึงหายเป็นปกติ?
หลังฉีดฟิลเลอร์ จะมีอาการบวมมากประมาณ 1 – 3 วัน และจะค่อยๆ ยุบเป็นปกติเมื่อผ่านไปประมาณ 7-14 วัน
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน?
ระยะเวลาการแสดงผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อ ที่ใช้นวัตกรรมผลิตเนื้อฟิลเลอร์ให้มีคุณสมบัติแตกต่างกัน แต่โดยเฉลี่ย จะอยู่ได้นานประมาณ 6 – 18 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาด้วยเช่นกัน
ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
- แพทย์จะทำการฆ่าเชื้อผิวบริเวณที่จะฉีด นั่นก็คือ บริเวณรอบดวงตา และโหนกแก้ม
- แพทย์จะฉีดยาชา และทิ้งไว้ประมาณ 15 – 30 นาทีเพื่อให้ยาออกฤทธิ์
- แพทย์จะเริ่มฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ในตำแหน่งที่ออกแบบไว้ ด้วยเข็มขนาดเล็กซึ่งระหว่างนี้ ผู้เข้ารับการบริการ จะรู้สึกตึงๆใต้ดวงตา เพียงเท่านั้น
- หลังฉีดตามปริมาณที่ออกแบบไว้จนเติมเต็มผิวบริเวณใต้ตาจนสมบูรณ์แล้ว แพทย์จะทำความสะอาดแผลอีกครั้ง และจะปิดแผลขนาดเล็กด้วยพลาสเตอร์เพื่อห้ามเลือด
- หลังจากนั้นจะตรวจเช็คความเรียบร้อย แล้วจึงให้ผู้เข้ารับบริการ กลับบ้านได้
การเตรียมตัว ก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
- ศึกษาข้อมูลการรักษาอย่างถี่ถ้วน ก่อนตัดสินใจเข้าปรึกษาแพทย์
- แจ้งโรคประจำตัว และยาที่กินอยู่ในปัจจุบัน ให้แพทย์ทราบ เพื่อประเมินการรักษาและเลือกใช้ยาชาอย่างเหมาะสม
- งดการผลัดเซลล์ผิว ก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ประมาณ 1 สัปดาห์
- ตรวจสอบข้อมูลฟิลเลอร์ให้แน่ชัด ว่าแพทย์ใช้ฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนฉีดให้เรา และฉีดในปริมาณกี่ cc ฉีดตำแหน่งไหนบ้าง
- หยุดกินอาหารเสริม สมุนไพร และยาจำพวกที่มีผลต่อการไหลเวียนเลือด ซึ่งหากไม่แน่ใจให้ปรึกษาแพทย์ล่วงหน้าอย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนฉีดฟิลเลอร์
- งดแต่งหน้า และล้างหน้าให้สะอาด ในวันเข้ารับบริการฉีดฟิลเลอร์
ข้อควรปฏิบัติ หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสผิวบริเวณรอบดวงตา เพราะจะทำให้ระคายเคืองผิว ช้ำบวมกว่าเดิม และฟิลเลอร์เคลื่อนที่ได้
- งดให้ผิวเจอความร้อน เช่น แสงแดด ซาวน่า เลเซอร์ผิวหน้า หรืออยู่หน้าเตาปิ้งย่าง จะทำให้เกิดการบวม และอักเสบได้
- ควรอยู่ในที่เย็นตลอดเวลา เพื่อให้ผิวที่เพิ่งฉีดฟิลเลอร์ ไม่เกิดอาการบวมกว่าเดิม และอากาศเย็นให้ผลลัพธ์ที่ดีต่อการเซตตัวของฟิลเลอร์
- งดอาหารสุกดิบ หรืออาหารรสจัด เช่น เพราะมีผลกับระบบเลือด และทำให้เสี่ยงเกิดแผลอักเสบติดเชื้อ
งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ - ดื่มน้ำให้เยอะๆ เพื่อช่วยให้ฟิลเลอร์อยู่ได้นานขึ้น
ทำยังไงให้ฟิลเลอร์ที่ใต้ตา อยู่ได้นานขึ้น?
- หลีกเลี่ยงการสัมผัส ห้ามเกา กด บีบ จับโดยเด็ดขาด เพราะอาจจะทำให้เสี่ยงต่อการอักเสบขึ้นได้ แค่หากมีอาการคันไม่หายไปภายใน 3 วัน ควรรีบแจ้งแพทย์อย่างโดยเร็ว เพื่อความปลอดภัย
- หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดและความร้อน เพื่อไม่ให้ฟิลเลอร์โดนความร้อนที่มีอุณหภูมิสูง เช่นการเข้าห้องซาวน่า ทั้งนี้เพราะความร้อนจะทำให้ฟิลเลอร์สลายเร็วขึ้นได้
- ควรหลีกเลี่ยงการทานวิตามิน เช่น กิงโกะ กระเทียม โสม น้ำมันพริมโรส และวิตามินอี เพื่อไม่ให้สารเหล่านั้นทำปฎิกริยาหรือส่งผลร้ายกับการตัวยาฟิลเลอร์ หรืออาจทำให้คนไข้เสี่ยงกับภาวะช้ำได้ง่ายกว่าปกติ
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีฤทธิ์การแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน และยาแก้อักเสบทุกชนิดควรหลีกเลี่ยงเพื่อไม่ให้ตัวยาฟิลเลอร์สลายเร็วขึ้น
- ควรดื่มน้ำสะอาดให้มากๆเพื่อช่วยตัวยาอุ้มน้ำได้ดี แพทย์จึงแนะนำให้ดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว หรือประมาณ 2 ลิตรต่อวัน เพื่อผลลัพธ์ที่ดีและคงทน เพราะการดื่มน้ำจะช่วยให้ฟิลเลอร์ มีประสิทธิภาพยาวนานที่ดีขึ้น
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดและสูบบุหรี่ร่วมด้วย สารเหล่านี้จะทำให้ฟิลเลอร์สลายเร็วและอาจอยู่ได้ไม่นานมากนัก
วิธีป้องกันผิวใต้ตาดำคล้ำ-เหี่ยวย่น ทำอย่างไรได้บ้าง
แม้ว่าปัญหาใต้ตา อาจเกิดได้จากการทรุดตัวของกระดูก จนทำให้เบ้าตาลึก ซึ่งปัญหานี้จะต้องแก้ไขด้วยเทคนิคการแพทย์ และยากต่อการป้องกัน แต่หากเป็นปัญหาผิว เช่น ผิวใต้ตาดำคล้ำ เหี่ยวย่น หย่อนคล้อย สามารถป้องกันได้ด้วยวิธีง่ายๆ ดังนี้
- ทาครีมบำรุงใต้ตา
เลือกใช้ Eye cream ที่เหมาะกับปัญหาผิวใต้ตา เช่น ผิวใต้ตาคล้ำ ก็เลือกส่วนผสมของ ไกลโคลิค แอซิด จะทำให้ผิวค่อยๆ กลับมากระจ่างใส หรือหากผิวใต้ตาเริ่มมีริ้วรอย สามารถลบเลือนได้ด้วยครีมที่มีส่วนผสมของ ไฮยาลูรอนิค แอซิค ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวกลับมานุ่มเด้ง - ทาครีมกันแดด
ครีมกันแดดช่วยปกป้องผิวใต้ตาไม่ให้เกิดรอยคล้ำ และไม่ให้เกิดริ้วรอยได้ ซึ่งควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่าSPF และ ค่า PA สูงสุด และควรทาเป็นประจำทุกเช้า หรือก่อนแต่งหน้า - มาส์กใต้ตา
เพื่อฟื้นฟูผิวใต้ตาได้ในระดับที่ลึกขึ้นไปอีกสเต็ป สามารถใช้แผ่นมาส์กใต้ตาที่รวมสูตรวิตามินอันมีประโยชน์ต่อผิวตาไว้หมดแล้ว หรือจะใช้ผัก-ผลไม้หั่นแว่นมาแปะไว้บริเวณเปลือกตาก็ได้ ซึ่งผัก-ผลไม้ ที่มอบความชุ่มชื่นให้ผิวได้แก่ แตงกวา มะเขือเทศ และว่านหางจระเข้ เป็นต้น - นอนพักผ่อนให้เพียงพอ
เพราะการนอนหลับเป็นช่วงเวลาที่ผิวจะซ่อมแซมตัวเองได้ดี ดังนั้นควรนอนหลับให้เพียงพอ ไม่อดนอนติดต่อกันนาน ซึ่งระยะเวลานอนที่พอเหมาะคือ 8 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ - สวมแว่นกันแดดทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน
ผิวบริเวณรอบดวงตาบอบบางพอๆ กับผิวหน้าส่วนอื่นๆ ซึ่งควรได้รับการป้องกันไม่ให้เกิดริ้วรอย รอยคล้ำจากแสงแดด ดังนั้นควรใส่แว่นกันแดด หรือหากเป็นแว่นสายตาควรเป็นเลนส์ออโต้ เปลี่ยนสี ( Auto Lens ) ที่เปลี่ยนสีเข้มเพื่อป้องกันแสงแดดให้เราแบบอัตโนมัติ - ดื่มน้ำสะอาดต่อวันให้เยอะๆ
น้ำช่วยให้ความชุ่มชื่นกับผิว และยังช่วยขับของเสียจากเซลล์ผิวที่โดนรบกวนจากมลภาวะระหว่างวันออกจากร่างกาย ดังนั้นเพื่อให้ผิวใต้ตาอวบอิ่ม ชุ่มชื่นตลอดเวลา ควรดื่มน้ำต่อวันให้เพียงพออย่างน้อย 2 ลิตร - รับประทานผัก-ผลไม้ คืนความชุ่มชื่นให้ผิว
ผักและผลไม้ ที่ช่วยมอบความชุ่มชื่นให้ผิวตา และบำรุงระบบประสาทตา ได้แก่ผลไม้ตระกูลเบอรี่ ส้ม กีวี่ มะละกอ เสาวรส และผักที่มีสีส้มและสีเหลือง ได้แก่ ฟักทอง แครอท เป็นต้น - หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
เพราะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จึงทำให้ผิวแห้ง ทำให้เกิดผิวหนังอักเสบ มีเลือดคั่ง (inflamed skin papules) ที่มีสีคล้ายแผลช้ำเหมือนโดนกระแทก ดังนั้นถ้าไม่อยากหน้าโทรม ผิวตาดำคล้ำ ควรงดดื่มทันที
ฟิลเลอร์แบบไหน ถึงเหมาะกับการนำมาฉีดใต้ตา
เนื้อฟิลเลอร์ ที่เหมาะกับการนำมาฉีดใต้ตา จะต้องมีคุณสมบัติอุ้มน้ำได้ดี แต่ก็มีความคงตัวสูง ไม่จับเป็นก้อน และควรเป็นฟิลเลอร์ที่ทำจาก ไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) เพราะความปลอดภัยต่อผิวหนัง และดวงตามากที่สุด
ฟิลเลอร์ใต้ตา มีกี่ยี่ห้อ เลือกฉีดยี่ห้อไหนดี
ส่วนใหญ่แพทย์จะแนะนำและเลือกใช้ฟิลเลอร์ 3 ยี่ห้อนี้ เพื่อเติมเต็มผิวใต้ตา เพราะมีคุณสมบัติที่เหมาะสม คือ เป็นเนื้อเจลโมเลกุลใหญ่ เนื้อแข็งแต่อุ้มน้ำได้ดี และมีความยืดหยุ่นพอเหมาะ คงตัวได้ดี ไม่จับเป็นก้อนได้ง่าย ได้แก่ ฟิลเลอร์ Restylane, ฟิลเลอร์ Juvederm และฟิลเลอร์ Belotero
ฟิลเลอร์ Restylane
ฟิลเลอร์เรสทิเลน (Restylane Filler) ที่ผลิตโดยบริษัท Galderma ประเทศสวีเดน ปลอดภัยสูงด้วยมาตรฐานจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (US FDA) ไทย และเกาหลีใต้ รวมถึงได้รับการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์จากสหภาพยุโรป (EDQM) มีเทคโนโลยีเฉพาะที่เหมาะกับผิวใต้ตา นั่นก็คือ NASHA Technology และ OBT Technology เพราะให้คงตัวสูง ยืดหยุ่นไม่จับเป็นก้อน และชุ่มชื้นมาก
ฟิลเลอร์ Juvederm
สารเติมเต็มมาตรฐานสูงจากประเทศอเมริกา ที่มีจุดเด่น 2 เทคโนโลยี Hylacross และ Vycross Technology คือมีความอุ้มน้ำได้ดี ยกกระชับได้พร้อมๆ กับเกาะผิวได้แน่น ไม่ไหลย้อย ดังนั้นแพทย์จึงนิยมนำมาฉีดแก้ปัญหาใต้ตา
ฟิลเลอร์ Belotero
อีกหนึ่งฟิลเลอร์ที่นิยมมาก เพราะใช้สารไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic acid) ของประเทศสวิตเซอร์ ที่ผลิตขึ้นมาหลายรุ่น โดยแต่ละรุ่นก็มีคุณสมบัติแก้ไขปัญหาได้แบบเฉพาะจุด สำหรับปัญหาใต้ตา รุ่นที่เหมาะสมได้แก่ Belotero Soft, Belotero Volume เพราะมีคุณสมบัติ เติมเต็มผิวได้เนียน มีความยืดหยุ่นและคงตัวสูง และให้ผลดีกับผิวบริเวณที่เกิดจากการทรุดตัวของกระดูก เช่น ปัญหากระดูกเบ้าตาลึก เป็นต้น
บทความที่เกี่ยวข้องกับยี่ห้อฟิลเลอร์ใต้ตา : ฟิลเลอร์ใต้ตา เลือกฉีดยี่ห้อไหนดี? เพื่อให้เหมาะกับตัวเองปลอดภัยและเห็นผลลัพธ์ดีที่สุด
วิธีเช็คฟิลเลอร์ใต้ตาของแท้
แม้ว่าการเลือกฟิลเลอร์ที่ใช้สารไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) จะปลอดภัยกว่าฟิลเลอร์ที่ใช้ส่วนผสมจากสารอื่นอยู่แล้วแน่ๆ แต่ก็ควรเลือกฟิลเลอร์แท้ หรือยี่ห้อแท้ เพื่อป้องกันการถูกสวมรอยเอามาฉีดให้ในราคาที่สูง แต่คุณภาพต่ำ และเสี่ยงอันตรายกับผิว ดังนั้นก่อนที่แพทย์จะฉีด ส่วนใหญ่แพทย์จะนำฟิลเลอร์ออกมาให้ผู้เข้ารับบริการตรวจเช็กก่อน ซึ่งวิธีที่จะเช็กว่าเป็นฟิลเลอร้ใต้ตายี่ห้อแท้ ต้องสามารถตรวจสอบได้ดังนี้
- มีเลขทะเบียน อย.
- มีเอกสารกำกับภาษาไทย (อยู่นอกกล่อง)
- มีเอกสารกำกับภาษาอังกฤษ (อยู่ในกล่อง)
- มีรอยประด้านข้างกล่องที่ปิดสนิท ไม่มีรอยบุบ
- Label Sticker จะสามารถลอกออกได้ เพื่อนำไปติดใน OPD Card.
- กล่องมี 1 cc และเลข lot ต้องตรงกัน 4 จุด คือ เลข lot ที่กล่อง,เลข lot ที่ซอง, เลข lot ที่สติกเกอร์, เลข lot ที่หลอด
- มีเบอร์ติดต่อเพื่อโทรเช็คเลข lot. ได้ที่บริษัท
- ฟิลเลอร์ Restylane ติดต่อ บริษัท กัลเดอร์มา (ประเทศไทย) จำกัด โทร.02 023 1800 ต่อ 402
- ฟิลเลอร์ Juvederm ติดต่อ บริษัท แอลเลอร์แกน (ประเทศไทย) จำกัด โทร.02 640 4999 ต่อ 1
- ฟิลเลอร์ Belotero ติดต่อ บริษัท เมิร์ซ เฮลธ์แคร์ โทร.02 229-9696
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาเท่าไหร่
ราคาฟิลเลอร์ใต้ตา จะอยู่ที่ประมาณ 9,900 – 15,000 บาท ต่อ 1 cc ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์ และราคามาตรฐานของแต่ละสถานพยาบาล หรือคลินิก
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
Q : ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เจ็บไหม ต้องใช้ยาชาหรือเปล่า?
A :การฉีดฟิลเลอร์ เป็นหัตถการที่ใช้ยาชาทุกเคส ดังนั้นจึงเหมาะกับผู้ที่กลัวเจ็บ เพราะระหว่างทำ จะไม่มีรู้สึกเจ็บใดๆ ทั้งสิ้น
Q : ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วเป็นก้อน เกิดจากอะไร?
A : หากฉีดฟิลเลอร์แล้วเกิดก้อนนูน มาจาก 2 สาเหตุใหญ่ คือ แพทย์ฉีดฟิลเลอร์ในปริมาณมากเกินไป และแพทย์เลือกใช้เนื้อฟิลเลอร์ที่ไม่เหมาะกับตำแหน่งในการฉีด เช่น เลือกเนื้อฟิลเลอร์ที่แข็งเกินไป แต่นำมาฉีดในตำแหน่งที่มีผิวบอบบาง อย่างรอบดวงตา เป็นต้น
Q : ฟิลเลอร์ใต้ตา สามารถสลายได้ไหม ต้องขูดออกไหม ?
A : ฟิลเลอร์ใต้ตา สามารถสลายได้เอง โดยไม่ทิ้งสารตกค้างใดๆ ไว้ในร่างกาย เว้นแต่ไปฉีดฟิลเลอร์ปลอม หรือสารซิลิโคน ที่มีลักษณะแข็งตัว และสลายเองไม่ได้ จำเป็นต้องขูด หรือผ่าตัดเอาออกเท่านั้น
Q : ฉีดฟิลเลอร์ใกล้ลูกตา แล้วตาจะบอดไหม ?
A : การฉีดฟิลเลอร์ในบริเวณรอบดวงตา จะปลอดภัยที่สุด หากฉีดกับแพทย์ หรือศัลยแพทย์ที่เชี่ยวชาญในการเลือกชนิดฟิลเลอร์ ชำนาญในตำแหน่งฉีด ผลลัพธ์ที่ได้จะออกมาดี และปลอดภัย ไม่เสี่ยงตาบอด แน่นอน
Q : ถ้าฟิลเลอร์ใต้ตาสลายหมด ตาจะกลับมามีปัญหาเหมือนเดิมไหม?
A : ฟิลเลอร์ใต้ตาที่เป็นสารไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) จะมีระยะเวลาแสดงผลลัพธ์มากน้อยขึ้นอยู่แต่ละยี่ห้อ และจะสลายออกจนหมด โดยไม่ทิ้งสิ่งตกค้าง ซึ่งทำให้ผิวกลับคืนสภาพเดิม
Q : ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเจ็บไหม
A : ก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา แพทย์จะมีการทายาชาให้ก่อนหัตถการทุกครั้ง ทำให้ช่วยลดความเจ็บขณะฉีดลดน้อยลงได้ ซึ่งคนไข้จะรู้สึกเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และใช้เวลาหัตถการที่สั้นมาก จึงสามารถทนความเจ็บนั้นได้
Q : ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตากี่วันเข้าที่ ?
A : โดยทั่วไปหลังการฉีดฟิลเลอร์จะเริ่มยุบบวมและเข้าที่ประมาณ 70 – 80% ภายใน 4 – 5 วัน และให้ผลลัพธ์อย่างชัดเจนอย่างเต็มที่ 100% ภายใน 14 วัน
สรุป ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ทำแล้วเป็นก้อน เสี่ยงตาบอด จริงหรือไม่?
หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา หากฉีดกับสถานพยาบาล หรือคลินิกที่ได้มาตรฐาน น่าเชื่อถือ มีแพทย์ที่เชี่ยวชาญในการฉีดฟิลเลอร์ และชำนาญการในการเลือกชนิดฟิลเลอร์ที่เหมาะกับผิวใต้ตา แน่นอนว่าจะไม่มีวันทำแล้วเป็นก้อนอย่างแน่นอน และจะไม่เสี่ยงได้รับอันตรายต่อผิว และดวงตา
ลิสต์อ้างอิง:
- May 7, 2021, Under-eye filler is a sure-fire way to get rid of pesky under-eye bags — and the procedure is surprisingly easy. (https://www.insider.com/guides/beauty/under-eye-filler)
- SEP 30, 2022, verything You Need to Know Before Getting Under-Eye Filler (https://www.goodhousekeeping.com/beauty/anti-aging/a41395666/under-eye-filler/)