สิวผด
ถึงแม้ว่าสิวผดจะเป็นสิวเม็ดเล็กๆ แต่ก็สามารถสร้างปัญหาผิวที่อาจส่งผลให้หลายๆคนหมดความมั่นใจในตัวเองไปได้ เพราะสิวผดมักจะสร้างรอยดำ รอยแดงจากสิวได้เหมือนกับสิวอักเสบ แม้ว่าสิวผดจะไม่ทำให้รู้สึกเจ็บ แต่ก็เป็นสิวที่ทำการรักษาให้หายได้ยาก และสร้างความไม่เรียบเนียนให้กับผิวหน้า สำหรับใครที่กำลังกลุ่มใจกับปัญหาสิวผดอยู่นั้น วันนี้เราจะชวนทาทำความเข้าใจและรักษาสิวชนิดนี้ให้หายขาดไปพร้อมๆกัน แต่ว่าจะต้องทำอย่างไรบ้างนั้นเลื่อนอ่านจากเนื้อหาในบทความนี้ได้เลย
ทำความรู้จัก สิวผด คืออะไร?
สิวผด (Acne Aestivalis) คือ สิวที่เกิดขึ้นบนผิวหนังหลังจากการแพ้ของระบบภูมิคุ้มกันในการต่อสู้กับเชื้อแบคทีเรีย จนทำให้เกิดสิวผดที่มีลักษณะเป็นตุ่มขนาดเล็กๆ พบได้บ่อยเมื่ออากาศร้อนหรือมีเหงื่อออกมาก โดยจะเห่อเป็นช่วง ๆ และไม่นานก็จะหายไปเอง มักจะเกิดบริเวณใบหน้า ลำคอ และแขน โดยผิวหนังรอบสิวจะมีสีแดง ผิวหนังรอบๆสิวอาจมีการบวม ซึ่งการกดสิวหรือสัมผัสกับบริเวณที่เป็นสิวจะทำให้เชื้อแบคทีเรียแพร่กระจายไปยังบริเวณรอบๆ ซึ่งอาจทำให้เกิดรอยแผลขนาดเล็ก รวมถึงรอยแดงหรือดำจากสิวที่ทำให้ผิวหนังดูไม่สม่ำเสมอเรียบเนียนเท่าที่ควร

สิวผดมีลักษณะอย่างไร
สิวผดจะชอบขึ้นเป็นจำนวนมาก มีลักษณะเป็นผดผื่นเม็ดเล็กๆ หรือตุ่มผื่นสีแดงรอบๆ มีขนาดเล็กเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 2-4 มิลลิเมตร เมื่อสัมผัสแล้วจะรู้สึกว่าผิวสาก ผิวหน้าไม่เรียบเนียน ในบางคนอาจพบว่ามีอาการคันร่วมด้วย ส่วนใหญ่จะพบในผู้ที่อายุระหว่าง 20-30 ปี ซึ่งเป็นเวลาที่ผิวหนังมีการผลิตน้ำมันมากขึ้น และมีการสร้างเซลล์ผิวหนังแบบไม่ปกติ จึงทำให้เกิดการอักเสบของผิวหนังและสิวผดได้ง่าย
ความเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดสิวผด
- การถูกแดดที่ร้อนจัดเป็นประจำอาจ อาจทำให้เชื้อราพิไทโรสโพรัมโอวาเล (Pityrosporum Ovale) เพิ่มขึ้นซึ่งเป็นสาเหตุที่เกิดสิวผดได้
- สารเคมี เช่น น้ำหอม โลออนต่างๆ หรือวัตถุกำมะถันอื่นๆ ซึ่งอาจทำให้เกิดการอักเสบของผิวหนังและเป็นสาเหตุของการเกิดสิวผด
- จากการสำรวจพบว่า 50-70% สิผดสามารถเกิดขึ้นได้จากพันธุกรรม และพบได้มากกับผู้ที่คนในบ้านมีประวัติเกิดสิวผด
- การใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ไม่เหมาะสมสำหรับผิวหน้า เช่นผิวหน้ามันแต่ใช้ผลิตภัณฑ์ของผิวหน้าแห้ง อาจทำให้เกิดการอุดตัน และการอักเสบของผิวหนัง ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิวผดได้เช่นกัน
- การล้างหน้าไม่สะอาด อาจส่งผลให้มีสิ่งสกปรกและความมันตกค้างอยู่บนผิว ซึ่งอาจทำให้เกิดการระคายเคืองจนเป็นสิวผดได้
- การสร้างเซลล์ผิวหนังที่ผิดปกติ อาจทำให้ผิวหนังมีความอ่อนแอ เมื่อผิวหนังสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้จึงเกิดเป็นสิวผดได้ง่าย
- การอักเสบของผิวหนัง ทำให้เกิดการออกซิเดชั่น (oxidative stress) ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญในการเกิดสิวผด
- ความเครียด จะเป็นตัวกระตุ้นทำให้ฮอร์โมนเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จึงทำให้เป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิวผด
- การดื่มน้ำน้อยและรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ สารอาหารไม่ครบถ้วนก็อาจที่ทำให้เกิดสิวผดได้เช่นกัน
- ใช้น้ำอุ่นล้างหน้าเป็นประจำ ทำให้ผิวศูนย์เสียความชุ่มชื้น ทำให้ผิวต้องผลิตน้ำมันมากกว่าปกติจนเกิดการอุดตันในรูขุมขน

สิวผดเกิดขึ้นกับส่วนไหนได้บ้าง
โดยส่วนมากสิวผดยังมักเกิดขึ้นบนบริเวณที่มีการสัมผัสกับแสงแดด ความอับชื้น สารเคมี และมลพิษจากสิ่งแวดล้อมต่างๆ เช่นฝุ่น ควัน PM2.5 เครื่องสำอางน้ำหอม ซึ่งทำให้เกิดจากการระคายเคือง หรือการอุดตันของสิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่บนผิว โดยบริเวณที่มักเกิดสิวผดได้แก่
- สิวผดบริเวณหน้าผาก
- สิวผดบริเวณแก้ม
- สิวผดบริเวณคาง
- สิวผิวบริเวณลำคอ
- สิวผดบริเวณหน้าอก
- สิวผดบริเวณแผ่นหลัง
วิธีรักษาสิวผดด้วยตัวเอง แบบธรรมชาติ

สำหรับใครที่เป็นสิวผดแต่ยังไม่กล้าที่จะไปพบแพทย์ ก็อาจจะสามารถลองรักษาสิวผดแบบวิธีง่ายด้วยตัวเองได้ดังนี้
- ล้างหน้าให้ถูกวิธี
โดยใช้คลีนซิ่งเช็ดทำความสะอาดเครื่องสำอาง เพื่อกำจัดสิ่งที่ตกค้างหลงเหลืออยู่บนใบหน้า ก่อนการล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ล้างหน้าสูตรอ่อนโยน จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด และใช้ผ้าขนหนูสะอาดมาซับเบาๆจนแห้งสนิท - เลิกพฤติกรรมจับหน้า
ควรเลิกพฤติกรรมที่อาจทำให้เกิดการระคายเคือง หรือการสะสมเชื้อแบคทีเรียที่ผิว เช่น การ การใช้มือสัมผัสกับใบหน้าบ่อยๆ การนวด การแกะสิว กาาเกา และการเช็ดถูใบหน้าแรงๆเป็นประจำ - ทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิว
การรับประทานอาหารประเภทผัก และผลไม้ จะช่วยเสริมแร่ธาตุ และเพิ่มความแข็งแรงให้ผิว ซึ่งอาหารที่แนะนำได้แก่ คะน้า ผักบุ้ง ถั่วเหลือง ปลาแซลมอน ฯลฯ และเสริมด้วยการดื่มน้ำให้ได้วันละ 1.5 – 2 ลิตร เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว และปรับสมดุลให้กับร่างกาย - หลีกเลี่ยงรังสี UV และแสงแดด
แสงแดดและรังสี UV เป็นหนึ่งตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดสิวผด ดังนั้นเพื่อป้องกันผิวไม่ให้ถูกทำร้ายจากแสงแดดและรังสียูวี ควรทาครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันแบบ SPF 30 PA+++ ขึ้นไป ทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน โดยเลือกใช้ครีมกันแดดที่เหมาะกับสภาพผิวและไม่มีสารที่ก่อให้เกิดการอุดตัน - พักผ่อนให้เพียงพอ
การนอนพักผ่อนไม่เพียงพอบ่อยๆ มักส่งผลทำให้ผิวหน้าดูอิดโรย และทำให้เป็นสิวได้ง่าย ดังนั้นใครที่กำลังรักษาสิวผดอยู่แนะนำพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 8 ชม. และต้องไม่เครียด - พอกหน้าด้วยวิธีธรรมชาติ
การพอกหน้าด้วยผักผลไม้ที่มีไลโคปีน แคโรทีนอยด์ เบต้าแคโรทีน และวิตามินต่าง ๆ อย่างมะเขือเทศ และแตงกวา จะช่วยลดการอักเสบของผิว และช่วยฆ่าเชื้อ ซึ่งจะทำให้ปัญหาของสิวผดค่อย ๆ ลดน้อยลงและเผยผิวใหม่ที่สดใสขึ้น - ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยดูแลปัญหาสิวโดยเฉพาะ
การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลจัดการสิว ที่มีส่วนประกอบของสารในกลุ่มอนุพันธุ์วิตามิน A จะสามารถช่วยจัดการกับสิวที่เกิดจากเชื้อยีสต์ได้ นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของยาอะดาพาลีน (Adapalene) จะช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการใช้ยา หรือผลิตภัณฑ์ใด ๆ ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์อย่างละเอียด - งดการแต่งหน้าหรือทำทรีทเมนท์
การที่ถูกรบกวนมากเกินไป ก็สามารถทำให้ผิวอ่อนแอลงได้ ดังนั้นจึงควรงดการแต่งหน้า หรือการทำทรีทเมนท์ต่างๆ ที่ไปรบกวนผิวเพื่อไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองจนสิวผดเห่อเพิ่มขึ้น - หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง
หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่อาจส่งผลทำให้เกิดการระคายเคือง ที่อยู่ในยาแต้มสิวเช่นสาร AHA, BHA, Salicylic Acid และ Benzoyl Peroxide เพราะส่วนผสมเหล่านี้จะทำให้ผิวแห้ง ลอก และเกิดการระคายเคืองมากขึ้นกว่าเดิม

แนวทางการรักษาสิวผด แบบเร่งด่วน ด้วยวิธีทางการแพทย์
- New Pora Cool
เป็นการปรนนิบัติฟื้นฟูผิวอย่างล้ำลึก ด้วยนวัตกรรมนำวิตามินเข้าสู่เซลล์ผิวและบำบัดด้วยแสง (Cool Mesoporation และ Light Therapy) ด้วยลำแสง 4 สี เพื่อซ่อมแซมผิวให้แข็งแรง เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน ทำให้ผิวกระจ่างใส และฆ่าเชื้อแบคทีเรียสาเหตุการเกิดสิวผด - ฉีด MADE Collagen
การฟื้นฟูผิวปรับสภาพผิวและลดปัญหาสิว ผดผื่น ผิวอักเสบที่เห็นผลชัดเจน โดยใช้เข็มฉีดยาจิ้มลงไปบริเวณจุดฝังเข็ม 16 จุดทั่วใบหน้า ทำให้เกิดกระบวนการรักษาแบบ Homeopathy (หลักการเดียวกับวัคซีน) ซึ่งจะช่วยล้างสารพิษที่อยู่บนผิว และช่วยกระตุ้นให้ผิวมีความแข็งแรง จึงไม่เกิดอาการแพ้หรือสิวผดขึ้นได้ง่ายๆ - เลเซอร์หน้าใส Dual Yellow
เป็นการใช้เครื่องเลเซอร์ที่มี 2 แหล่งกำเนิดพลังงานได้แก่ Copper และ Bromide ที่ใช้ในรักษาปัญหาผิวแบบเฉพาะเจาะจง เช่น ลดการเกิดสิว รักษาฝ้า กระ รอยสิว จุดด่างดำ กระตุ้นให้ผิวมีความแข็งแรง ลดอาการแพ้ของผิว ด้วยแสงสีเหลือง ความยาวคลื่น 578 นาโนเมตรและแสงสีเขียว ความยาวคลื่น 511 นาโนเมตร - ฉีดผิวชาแนล
การฉีดผิวชาแนล หรือ Chanel injection หรือชื่อทางการคือ (NCTF) ด้วยวิธีการฉีดตัวยา Filorga (ฟิลอก้า) แบบการฉีดเมโสหน้าใสช่วยฟื้นฟูและปรับปรุงการทำงานของไฟโบรบลาสต์ที่ช่วยฟื้นฟูผิวที่เสียหายทำให้ชั้นผิวหนังถูกกระตุ้น ตั้งแต่ผิวหนังชั้นบน (Epidermis) ชั้นหนังแท้ส่วนบน (Superficial Dermis) และชั้นหนังแท้ (Deeper Dermal Layer) จึงทำให้ผิวที่เสื่อมสภาพกลับมาแข็งแรงขึ้น และลดปัจจัยการเกิดสิวผดได้ - ปรึกษาแพทย์ผิวหนัง
หากคนไขเคยรักษาสิวผดด้วยวิธีอื่นๆมาแล้วแต่ไม่เป็นผล สามารถปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อจะได้รับตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริงของการเป็นสิวผล และเข้ารับการรักษาด้วยการรับประทาน หรือทายารักษาสิวผดที่เป็นอยู่ได้อย่างตรงจุด
ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับสิวผด
หลายคนอาจมีความเชื่อแบบผิดๆเกี่ยวกับสิวผด ซึ่งอาจส่งผลต่อการรักษาได้เช่น
- สิวผดและสิวอุดตันเป็นสิวแบบเดียวกัน จึงทำให้เลือกใช้วิธีการกด หรือบีบเอาหัวสิวออก ซึ่งอาจทำให้สิวผดเกิดการอักเสบ และเห่อขึ้นมากกว่าเดิม
- เชื่อว่าการล้างหน้าบ่อยๆ หรือการสครับผิวจะช่วยรักษาสิวผดได้ ซึ่งในความเป็นจริงการล้างหน้าบ่อยๆ หรือการสครับผิวหน้าจะทำให้เกิดการระคายเคืองเพิ่มขึ้น
- งดใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ช่วงเป็นสิวผด หลายคะชื่อว่ามอยเจอร์ไรเซอร์จะทำให้เกิดการอุดตัน ซึ่งอาจทำให้จำนวนของสิวผดเพิ่มมากขึ้น แต่ความจริงแล้วการทามอยเจอร์ไรเซอร์จะช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น ลดการระคายเคืองของผิว จึงทำให้จำนวนของสิวผดลดลง
ข้อควรระวังในการรักษาสิผด
สำหรับการรักษาสิวผด ไม่ควรซื้อยามารักษาดูแลสิวผดเอง เนื่องจากส่วนมากในตัวยามักมีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์ (steroid) ซึ่งจะช่วยให้สิวผดยุบลงอย่างรวดเร็ว ในระยะเวลาสั้นๆ แต่ไม่ส่งผลดีต่อผิวในระยะยาว เพราะหากมีการใช้ต่อเนื่องอาจส่งผลข้างเคียงทำให้ผิวติดสารสเตียรอยด์ กลายเป็นผิวแพ้ง่าย และสิวผดมีอาการที่ร้ายแรงมากยิ่งขึ้น

สิวผดสารมารถป้องกันได้ไหม
สิวผด ไม่ใช่ สิว แต่เป็นปัญหาผิวหนัง ที่เกิดจากแสงแดด แสง UVA เชื้อ แบคทีเรียและมลภาวะต่างๆ ที่สามารถป้องกันได้ด้วยการปรับพฤติกรรมการดูแลผิวหน้าดังนี้
- ทำความล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์สูตรอ่อนโยน เพื่อกำจัดเชื้อสิวและคราบสิ่งสกปรก
- หลีกเลี่ยงเครื่องสำอางที่มีน้ำมัน เช่นครีมรองพื้น และเครื่องสำอางที่ผสมน้ำหอม
- ลดการกินอาหารที่มีไขมันสูงและอาหารที่มีน้ำตาลสูง
- ดื่มน้ำเพียงพอเพื่อช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย
- เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าที่เหมาะสมกับสภาพผิว
- หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสบริเวณผิวที่เป็นสิวผด โดยเฉพาะมือที่ไม่สะอาด
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสิ่งที่อาจเป็นตัวกระตุ้นของการก่อให้เกิดการแพ้ เช่น ฝุ่น ควัน น้ำที่ไม่สะอาด และเครื่องสำอาง
- ทาครีมกันแดดเสมอเพื่อปกป้องผิวจากแสงแดดและแสง UV
- เติมความชุ่มชื้นให้ผิว และบำรุงให้ผิวมีความแข็งแรงอยู่เสมอด้วยการทำทรีทเมนท์ การทำเลเซอร์หน้าใส การฉีดมาเด้คอลลาเจน หรือฉีดเมโสหน้าใส
คำถามที่พบบ่อย
สิวผด เหมือน สิวอุดตัน หรือไม่?
หลายคนอาจจะคิดว่าสิวผดกับสิวอุดตันคือสิวชนิดเดียวกัน แต่แท้จริงแล้วสิวผด กับ สิวอุดตัน ไม่เหมือนกัน ถึงแม้ว่าจะมีลักษณะสิวที่ใกล้เคียงกันก็ตาม ซึ่งมีข้อสังเกตุของความต่างของสิวทั้ง 2 ประเภทได้ดังนี้
- สิวผดจะมีลักษณะเป็นตุ่มใส ๆ เล็กๆ ติดกันเป็นปื้น เกิดจากการที่ผิวได้รับการทำให้ระคายเคือง มีตัวกระตุ้นหลักคือ ความร้อน แสงแดด แสง UV ฝุ่น และมลภาวะอื่นๆ
- สิวอุดตันจะมีลักษณะ เป็นตุ่มนูนแข็ง เป็นไตบนผิวเกิดจากการอุดตันของน้ำมันส่วนเกินบนใบหน้า และสิ่งสกปรกตกค้างที่ตกค้างในรูขุมขนทำให้เกิดการอุดตัน
การใส่ mask ทำให้เป็นสิวผดได้จริงไหม?
การใส่แมสก์ทำให้ผิวหน้าเกิดเป็นสิวผดได้ เนื่องจากการใส่ mask อาจทำให้ผิดเกิดการระคายเคือง เกิดอับชื้น และเกิดการเสียดสีเป็นประจำ ดังนั้นการเปลี่ยนแมสก์บ่อยๆในระหว่างวัน เพื่อไม่ให้เกิดการสะสมของเชื้อโรคจึงช่วยลดการเกิดปัญหาสิวผดได้
เป็นสิวผดแล้วกี่วันหาย?
ระยะเวลาในการรักษาสิวผดจะขึ้นอยู่กับอาการและประเภทของสิวผด ซึ่งหากเป็นสิวผดที่เกิดจากการแพ้ทั่วไปก็ใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ แต่หากเป็นปัญหาสิวผดจากเชื้อราก็จะใช้เวลารักษาประมาณ 1-2 เดือน หรือมากกว่านั้น
สิวผดเป็นๆหายๆ เกิดจากอะไร
สิวผดเป็นสิวที่เป็นๆหายๆอาจเกิดขึ้นจากการติดเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัสบนผิว ซึ่งหากรักษาไม่ถูกต้องก็อาจจะเป็นการกระตุ้นทำให้สิวผดกลับขึ้นมาได้มากกว่าเดิม นอกจากนี้ความเครียดก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งเป็นการกระตุ้นทำให้สิวผดกลับขี้นมาอีกได้
เป็นสิวผดแล้วคัน เพราะอะไร?
ทางการแพทย์สามารถวินิจฉัยได้ว่าอาการคัดจากสิวผดนั้น เกิดจากอาการรูขุมขนอักเสบจากเชื้อรา ที่เกิดจากเชื้อราหรือยีสต์ที่เข้าไปทำปฏิกิริยากับไขมันใต้ผิวหนัง จึงทำให้เกิดสิวผดร่วมกับมีอาการคัน ซึ่งสามารถทำการรักษาได้ด้วยการทายาปฏิชีวนะเหมือนการรักษาสิวแบบทั่วไป
สิวผด แบบไหนที่ต้องให้แพทย์รักษา
โดยปกติถ้าเป็นสิวผดที่มาจากอาการแพ้ หรือเกิดขึ้นจากรังสี UV จะสามารถหายไปได้เอง แต่ถ้าเป็นสิวที่เกิดจากเชื้อรา ทำให้รูขุมขนอักเสบที่มีอาการคันร่วมด้วย การรักษาด้วยตัวเองอาจไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะสม เพราะอาจทำให้สิวผดหายช้า เป็นๆหายๆ หรือการรักษาไม่ได้ผล แนะนำพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัย และรักษาอย่างถูกต้อง
สรุป
สิวผดถึงแม้ว่าจะไม่ก่อให้เกิดการอักเสบหรือติดเชื้อ แต่ก็สร้างปัญหาให้นักใจได้ไม่น้อย เนื่องจากการรักษาสิวผดไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้ระยะเวลาและความอดทนในการรักษา แต่ที่กังนัมคลินิกเรามีมีวิธีการที่หลากหลาย จึงสามารถช่วยลดการเกิดสิวผดและเพิ่มความเรียบเนียนของผิวหน้าจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านผิวหนังและความงาม